เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะตามมาด้วยปัญหาของริ้วรอย ร่องลึก รวมถึงความหย่อนคล้อย ซึ่งใครหลายๆคน ก็คงก็อยากที่จะหน้าเด็ก ดูสดใสไปตลอด เราไม่สามารถหยุดเวลา หรืออายุที่มากขึ้นได้ แต่เราสามารถคงหน้าเด็กไปตลอดกาลได้ค่ะ ซึ่งหนึ่งในหัตถการที่จะช่วยที่ประคองผิวไม่ให้ทรุดโทรมไปตามช่วงอายุ นั้นก็คือ “ฟิลเลอร์”  

       ฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งทางเลือกในการดูแลตัวเองที่ไม่ต้องเพิ่งศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และฟิลเลอร์ที่ LBC จะมาแนะนำในวันนี้ คือ” ฟิลเลอร์ JUVEDERM” ค่ะ

ฟิลเลอร์ JUVEDERM คืออะไร มาจากไหน ?

       JUVEDERM เป็นฟิลเลอร์ ที่ถูกผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก US.FDA และ อย.ไทย นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand 

       มีเทคโนโลยีการผลิตที่จำเพาะ 2 แบบ เด่นในเรื่องของการเติมเต็ม และยกกระชับปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์ JUVEDERM ถือเป็นฟิลเลอร์ตัวหนึ่งที่ดีมากๆ ค่ะ

จุดเด่นของฟิลเลอร์ JUVEDERM คือ?

       เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูง ถูกออกแบบมาให้มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยให้ขณะฉีดไม่รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับคนที่กลัวเจ็บค่ะ และเป็นฟิลเลอร์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ยาวนานที่สุด

ฟิลเลอร์ JUVEDERM มีกี่รุ่น แตกต่างกันอย่างไร ?

       ฟิลเลอร์ JUVEDERM ผลิตออกมาด้วย 2 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ Hylacross และ Vycross Technology มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และในแต่ละเทคโนโลยีการผลิตจะมีหลายรุ่นด้วยกัน 

• เทคโนโลยี HYLACROSS

       เป็นเทคโนโลยีเดิมที่มีมาก่อนแล้วของ ฟิลเลอร์ JUVEDERM กลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่เด่นคือ การอุ้มน้ำ มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับได้ดี ดังนั้นหลังฉีดเนื้อฟิลเลอร์จะมีความฟูค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับเติมในบริเวณร่องลึก แพทย์จะต้องมีความแม่นยำอย่างมาก หากเติมเยอะเกินไปจะทำให้ใบหน้าของลูกค้าดูบวมได้ ซึ่งรุ่นที่ผลิตโดยเทคโนโลยี HYLACROSS และคลินิกมีจำหน่าย คือตัว JUVEDERM Ultra Plus XC สามารถฉีดขมับ, แก้มตอบ และ คางได้ค่ะ ผลลัพธ์อยู่ได้ 8 - 12 เดือน

• เทคโนโลยี VYCROSS

       เป็นเทคโนโลยีล่าสุด ถูกพัฒนามาให้เนื้อฟิลเลอร์บวมน้ำน้อยลง ความโดดเด่นของกลุ่มนี้จะเป็นในเรื่องของเติมเต็ม และการยกกระชับ เหมาะในการเติมเต็มทุกบริเวณของใบหน้า จะมีความเป็นธรรมชาติ เนียนไม่โป๊ะ รุ่นที่ผลิตออกมาจะมีทั้งหมด 5 รุ่น และที่ทางคลินิกมีจำหน่ายมี จะมีทั้งหมด 4 รุ่น คือ

1. JUVEDERM Voluma 

       เนื้อฟิลเลอร์ที่แข็ง ช่วยยกกระชับหน้าได้ดีที่สุด เนื้อเจลเนียนไม่เป็นก้อน อยู่ได้นาน 12 - 18  เดือน เหมาะสำหรับฉีดบริเวณขมับ, แก้มส้ม, กรอบหน้า และ คาง หรือใช้เป็นฐานเติมใต้ตา และร่องลึก เป็นตัวที่คุณหมอนิยมใช้มากที่สุด

2. JUVEDERM Volift 

       ฟิลเลอร์ตัวนี้จะมีความนิ่มปานกลาง เรียบเนียน ไม่ไหลง่าย อยู่ได้ประมาณ 12 - 18 เดือน เหมาะกับคนที่มีปัญหาร่องลึกต่างๆ เช่น ใต้ตา, ร่องแก้ม, แก้มส้ม, แก้มตอบ และ ปาก

3. JUVEDERM Volbella 

       ฟิลเลอร์ตัวนี้จะมีโมเลกุลเล็กคล้ายเจลนิ่มๆ เนื้อมีความเรียบเนียน อยู่นานประมาณ 8 - 12 เดือน เหมาะกับผิวที่บาง เช่น ใต้ตา และ ปาก

4. JUVEDERM Volite 

       เนื้อฟิลเลอร์จะมีความละเอียดที่สุด และบางเบาเป็นพิเศษ สามารถฉีดเข้าไปที่ผิวหนังแท้ได้ เหมาะสำหรับการฉีดเป็น Skinbooster ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ อยู่ได้นานถึง 9 เดือน

ฟิลเลอร์ JUVEDERM ต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร ?

       ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีขั้นตอนกระบวนการผลิตต่างกัน จึงทำให้มีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันออกไป เช่น

       ฟิลเลอร์ Restylane มีความโดดเด่นในเรื่องขนาดโมเลกุลฟิลเลอร์ด้วย NASHA Technology จะใช้การขดเส้นใย HA ร่วมกับการใส่ crosslink เพื่อให้ได้เนื้อ Filler ที่มีค่า Elasticity ความยืดหยุ่นสูง สูง รวมถึงความธรรมชาติหลังฉีดช่วยยกพยุงผิวได้อีกด้วย อยู่ได้นาน 8 - 12 เดือน

       ฟิลเลอร์ Neuramis มีความโดดเด่นในเรื่องการปั้น จัดทรง สามารถสร้างเนื้อได้ดี เพิ่มวอลลุ่มให้สวยธรรมชาติ ราคาจับต้องได้ คงผลลัพธ์สวยอยู่ได้นาน 8 - 12 เดือน

       ส่วน ฟิลเลอร์ JUVEDERM จะเน้นการพัฒนาฟิลเลอร์ให้เป็นเนื้อเจลมีจุดเด่นในด้านความเรียบเนียน ด้วยเทคโนโลยีสำคัญอย่าง Hylacross และ Vycross ได้ในเรื่องความธรรมชาติสูงมาก อาการบวมน้ำหลังฉีดน้อย ผลลัพธ์หลังการฉีดอยู่ได้ยาวนาน ช่วยยกกระชับผิวได้ดี ไม่แข็งเป็นก้อน  อยู่ได้ยาวนานที่สุดในท้องตลาด 12-18 เดือน

Do / Don’t หลังฉีดฟิลเลอร์

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 

     หลังการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการนวด กด เกา รวมถึงสัมผัสแรง ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัส และเพื่อให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปคงรูปทรง เข้าที่ได้ดียิ่งขึ้น

2. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และ ความร้อน ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก

    ไม่ควรออกกำลังให้เหงื่อออก หรือไปตากแดดร้อน รวมถึงการเข้าห้องซาวน่า เพราะความร้อนส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์ และ อาจเกิดรอยแดงบริเวณที่ฉีดได้  กรณีพบอาการระคายเคือง บวม แดง คันอย่างต่อเนื่อง สามารถติดต่อแอดมินเพื่อแจ้งติดตามอาการได้ทันที

3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

    ที่มีส่วนประกอบของกรดผลไม้ ส่วนประกอบของ AHA BHA หรือ Retinoids เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง กับผิวบริเวณที่ฉีดได้ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ 

4. งดทานวิตามิน และยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด

    เช่น วิตามินอี แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และ ยาแก้อักเสบบางชนิด เพราะอาจทำให้เลือด หยุดไหลช้า ทำให้ช้ำง่ายกว่าปกติ รวมถึงอาหารหมักดองของแสลงอย่างน้อย 1 สัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ ถอน ย้อมสีขน หรือใช้ครีมกำจัดขน 

    ประมาณ 2 - 3 วัน เนื่องจากบริเวณที่ฉีดอาจมีความบอบบางลงชั่วคราว อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เสี่ยงต่อการอักเสบได้

6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ สูบบุหรี่ 

    ควรงดแอลกอฮอล์ และ สูบบุหรี่หลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

7. ดื่มน้ำให้มากๆ หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 - 5 วันแรก 

    อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากฟิลเลอร์จะดูดซับน้ำขึ้นทรงได้อย่างสวยงาม และทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น  เพราะฟิลเลอร์ คือ สารไฮยาลูลอนิคซึ่งอุ้มน้ำได้ดี

วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ JUVEDERM

• มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง

• 1 กล่องมี 2 cc และเลข lot ต้องตรงกัน 4 จุด คือ

• เลข lot ที่กล่อง

• เลข lot ที่ซอง

• เลข lot ที่สติกเกอร์

• เลข lot ที่หลอด

• สามารถโทรเช็คเลข lot. และคลินิกได้ที่บริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด
  โทร.02 640 4999 ต่อ 1
  
  

ฟิลเลอร์ JUVEDERM ราคาเท่าไร ?

       ฟิลเลอร์ JUVEDERM ราคา แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากมีความเข้มข้นของสาร Hyaluronic acid และอายุการใช้งานต่างกัน รวมถึงตำแหน่งบริเวณที่ฉีดด้วยค่ะ 

       ฟิลเลอร์ Juvederm ถือเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่แพทย์หลายๆ คน รวมถึงแพทย์ทาง LBC CLINIC แนะนำเนื่องจากเป็นยี่ห้อที่มีการถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลก มีความปลอดภัย และสามารถใช้ฉีดแก้ปัญหาได้หลายจุด ใครที่มีปัญหาเรื่องของร่องลึก ริ้วรอย แอดมินแนะนำเป็นตัวนี้เลยค่ะ

รีวิว เติมฟิลเลอร์ JUVEDERM