รับโปรโมชั่นพิเศษ เฉพาะคุณเท่านั้น

อยากใส่เสื้อผ้าแขนกุด แต่ไม่มั่นใจเพราะแขนใหญ่ จะใช้วิธีไหนก็ลดกล้ามเนื้อแขนให้ดูเรียวเล็กไม่ได้สักที แบบนี้ต้องหันมาลองวิธีลดกล้ามเนื้อแขนด้วยการทำ Lipo ต้นแขนและการทำโบท็อกซ์กล้ามแขน
ปัญหาต้นแขนใหญ่จนขาดความมั่นใจนั้นมักมีสาเหตุมาจากการสะสมของไขมันและเซลลูไลต์ จนทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เกิดเป็นผิวเปลือกส้มที่ดูขรุขระ ไม่น่ามอง ดังนั้นการฉีดโบท็อกซ์ลดกล้ามแขน การทำ Lipo ลดการสะสมของไขมันบริเวณดังกล่าวจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการฉีดแขนเล็กและลดกล้ามเนื้อแขนด้วยวิธีนี้มีราคาไม่แพง สามารถเสริมสร้างความมั่นใจ และเพิ่มความสนุกในการแต่งตัวได้เป็นอย่างดี
การลดกล้ามเนื้อแขนนั้น จะทำโดยฉีดตัวยาสลายไขมันหรือโบท็อกซ์ไปยังบริเวณที่มีการสะสมของไขมัน เพื่อช่วยสลายไขมันที่เป็นก้อนให้แตกตัวเป็นขนาดเล็ก ๆ ให้สามารถขับออกทางเหงื่อและปัสสาวะได้ง่าย โดยมีระยะเวลาเห็นผลประมาณ 7-14 วันหลังฉีด สามารถทำซ้ำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีได้ทุก 7 วัน ยิ่งถ้าทำต่อเนื่องเป็นประจำ รับรองว่ามีเพื่อนทักแน่นอนว่าแขนเรียวสวย เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
|
|
---|---|
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
สำหรับผู้ที่มีกล้ามแขนใหญ่ปูดจนขาดความมั่นใจ สาเหตุอาจจะเกิดจากการออกกำลังกาย หรือการใช้งานบริเวณดังกล่าวมากจนเกิดกล้ามเนื้อเป็นมัดก้อนปูดออกมาจนสังเกตได้ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องลดท้องแขนวิธีไหนดี เราขอแนะนำให้เข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ลดกล้ามแขนเพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวให้เล็กลง ช่วยลดกล้ามเนื้อแขนให้ดูเรียวลงอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาจรู้สึกเมื่อยล้าในช่วงแรกหลังฉีดได้ โดยมีระยะเวลาเห็นผลอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์หลังฉีด และคงผลลัพธ์ได้ประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ กลับมาตามการใช้งาน
เพราะการฉีดแขนเล็กมีหลายราคาและหลายแบบ แล้วจะรู้ได้อย่างไร? ว่าเราควรเลือกการลดกล้ามเนื้อช่วงต้นแขนด้วยวิธีแบบใด? ให้ลองสังเกตตัวเองดังต่อไปนี้ เพื่อดูว่าเราเหมาะกับการ Lipo ต้นแขนหรือฉีดโบท็อกซ์ลดกล้ามแขนมากกว่ากัน
ถ้าเป็นการฉีดสลายไขมัน Lipo V นั้น LBC Clinic แนะนำให้ฉีดทุก 7 วัน โดยส่วนใหญ่จะฉีดติดต่อกันเป็นเวลา 3-4 ครั้งจึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน
ถ้าเป็นการฉีดโบท็อกซ์ลดกล้ามแขนนั้นจะเริ่มเห็นผลเต็มที่ภายใน 1 เดือน และผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ 4-6 เดือน โดยสามารถกลับมาเติมครั้งใหม่ได้ทุก 4-6 เดือน
หลังการฉีดโบท็อกซ์กล้ามแขน ผู้เข้ารับบริการจำเป็นจะต้องดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ไขมันถูกขับออกให้ได้มากที่สุด
งดสูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์
เพื่อให้การสลายไขมันได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ผู้เข้ารับบริการควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย โดยให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง
ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ เดินเร็ว ประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ไขมันสลายออกไปได้เร็วขึ้น