รับโปรโมชั่นพิเศษ เฉพาะคุณเท่านั้น
สาวๆหลายคนคงมีคำถาม และข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตนว่าควรทำอย่างไรหลังการฉีดหน้า ทำสวยต่างๆ วันนี้ LBC มาสรุป ไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อคงความสวยเป็นธรรมชาติ และผลลัพธ์ที่ดีแบบยาวนาน
หลังฉีดโบทอกซ์ ในแต่ละบริเวณเสร็จทันที ควรบริหารกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด เช่น ยักคิ้ว ขมวดคิ้ว ยิ้ม และควรเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นเวลา 30 นาทีหลังฉีด
หลังฉีดโบทอกซ์ 3 ชม.
- หลีกเลี่ยงการประคบเย็นในช่วง 3 ชั่วโมงแรก
- ไม่ควรนอนราบ รวมทั้งงดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ
หลังฉีดโบทอกซ์ 24 ชม.
- สามารถทาครีมได้ และแต่งหน้าได้ปกติ
หลังฉีดโบทอกซ์ 2-3 วัน
- บางคนจะเริ่มเห็นผลจากการฉีดลดริ้วรอยได้บ้างเป็นบางส่วน
- บางคนอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว ซึ่งจะหายได้เองใน 3-7 วัน
- สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ
หลังฉีดโบทอกซ์ 7-10 วัน
- บริเวณที่ฉีดอาจบวมได้เล็กน้อย และอาจเกิดรอยเขียวช้ำได้ปกติ จะค่อยๆ จางลงได้เองใน 7-14 วัน
- ยังไม่ควรประคบร้อน
หลังฉีดโบทอกซ์ 14 วัน
- เห็นผลจากการฉีดลดริ้วรอยเกือบ 100%
- เห็นผลจากการฉีดลดกราม คือ กัดกรามแล้วไม่เด้ง แต่กรามจะยังไม่ยุบลง ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน จึงจะยุบเต็มที่
ควรฉีดโบทอกซ์ต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสม ไม่ควรฉีดถี่เกินไป อย่างต่ำควรเว้นอย่างน้อย 4 เดือน และไม่เว้นระยะห่างจนเกินไป ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน
หลังจาก 2 สัปดาห์ไปแล้ว กิจกรรมเหล่านี้จะยังส่งผลต่ออายุของโบทอกซ์ได้บ้างแต่ไม่มาก ยกเว้นการซาวน่า และเลเซอร์ที่ยิงความร้อนเข้าผิวจะมีผลมากที่สุด
หากมีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรทำมาก่อนฉีดโบทอกซ์ เพราะหลังฉีดจะต้องงด 2 สัปดาห์ จึงจะทำต่อได้
ปกติแล้วหลังฉีดฟิลเลอร์จะมีอาการตึง บวมจากยาชา หรือบวมจากตัวฟิลเลอร์ในบริเวณที่ฉีดได้บ้าง ซึ่งสามารถหายเป็นปกติได้เองใน 3-7 วัน
หลังฉีด 24 ชม.
- เริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น ไม่ควรกด นวด บริเวณที่ฉีด
หลังฉีด 48 ชม.
- แผลรูเข็มสามารถโดนน้ำได้ปกติ สามารถทาครีมทับบริเวณรอยเข็ม และสามารถแต่งหน้าได้ปกติ
หลังฉีด 3 วัน
- อาการช้ำ แดง จะเริ่มดีขึ้น รวมถึงอาการบวมเข็มจะลดลง อาจเข้าใจผิดได้ว่าฟิลเลอร์สลายหายไป แต่จริงๆแล้วเป็นอาการบวมที่ลดลง
หลังฉีด 7-10 วัน
- รอยเขียวช้ำอาจยังมีอยู่ และจะค่อยๆจางลงเองใน 14 วัน
หลังฉีด 14 วัน - 1 เดือน
- อาการบวมจะหายไปเกือบ 100% ฟิลเลอร์จะเริ่มนิ่มลง ฟูขึ้น กลืนไปกับผิว ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ไม่ควรขัดหรือนวดหน้าในบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 1 เดือน
สามารถล้างหน้าได้ตามปกติหลังฉีด 24 ชั่วโมง
สามารถนำสเตอร์ไลน์สติ๊กที่ปิดแผลจากรูเข็มออกได้หลัง 24 ชั่วโมง
ในบางเคสอาจปวดระบมตามรอยเข็มในคืนแรกหลังทำ สามารถกินยาแก้ปวดได้
งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศร้อน โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพราะจะทำให้เลือดหมุนเวียนที่ใบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบวมเพิ่มมากขึ้นได้
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หรือเลี่ยงไม่ได้ก็ควรเว้นระยะ 2-3 วันหลังฉีด
งดอาหารประเภทรสจัด 3-7 วัน เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบ บวม บนผิวหน้าได้ง่าย ทำให้รอยเข็มหายช้า
หลีกเลี่ยงอาหารดิบ, หมักดอง เพราะอาจเพิ่มการอักเสบหลังจากการฉีดฟิลเลอร์
งดทำทรีตเมนต์, ซาวน่า, อบไอน้ำ 14 วัน
แนะนำให้อยู่ในอากาศเย็นๆ จะช่วยลดอาการบวมลงได้เร็วขึ้น
ควรดื่มน้ำมากๆ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์แรก จะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูได้รูป
ควรเลือกทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง อย่างผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผักใบเขียว รวมถึงวิตามินเอ เพราะจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่จะไปช่วยฟื้นฟูให้แผลจากเข็มหายไวขึ้น
ควรเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดความเสี่ยงที่จะอักเสบหรือแผลติดเชื้อได้ เช่น ไก่ ปลา ไข่ขาว ธัญพืช เป็นต้น
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
อาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้เป็นปกติ อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 3-7 วัน หลีกเลี่ยงการแกะ การเกา การกดนวดบริเวณที่ฉีด
หลังฉีดทันที
- ควรงดใช้หลอดดูดน้ำ งดทาลิปสติก และงดสูบบุหรี่
วันที่ 1
- ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปขึ้น ยังไม่ควรทาลิป หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณปาก
วันที่ 2-3
- ริมฝีปากเริ่มบวมเยอะขึ้นกว่าวันแรก สามารถทาลิปบำรุง เพิ่มความชุ่มชื่นได้
วันที่ 3-5
- ริมฝีปากอาจแห้ง ลอก ไม่ควรดึงหรือลอกริมฝีปาก รอยเขียวช้ำจะค่อยๆ จางลง
วันที่ 5-7
- ปากเริ่มเข้าทรง สามารถทาลิปได้ปกติ
สัปดาห์ที่ 1-2
- เป็นช่วงที่ปากอวบอิ่มกว่าปกติ
2 สัปดาห์ขึ้นไป
- ฟิลเลอร์หายบวม ริมฝีปากเป็นทรงสวยชัด
ดื่มน้ำให้มากๆ
ห้ามดึงหรือลอกหนังริมฝีปาก
ห้ามนวด คลึง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณปาก
งดการใช้หลอดดูดน้ำ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 12 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงแสงแดด ความร้อน และเครื่องดื่มร้อนๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงการแว๊กซ์หรือกำจัดขนรอบๆ ริมฝีปาก
ควรงดรับประทาน แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, Ginko Biloba, Primrose Oil, Garlic, Ginseng และ Vitamin E เพราะจะส่งผลให้มีอาการช้ำได้ง่ายกว่าปกติ
1. หลังฉีดควรนวดคลึงบริเวณที่ฉีดประมาณ 5 นาที
เพื่อเป็นการกระจายตัวยาเข้าสู่ชั้นไขมันให้ได้ดีมากขึ้น (นวดเฉพาะบริเวณที่ฉีดแฟตเท่านั้น )
2. ควรออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร
เพื่อป้องกันการสะสมใหม่ของไขมัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง
3. หลีกเลี่ยงการทานของหมักดอง
อาหารหมักดอง ไม่ถึงขั้นเป็นข้อห้าม แต่ก็ไม่แนะนำ เนื่องจากในอาหารหมักดอง อาจมีสารที่กระตุ้นกระบวนการอักเสบผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวการของอาการบวม
4. ควรดื่มน้ำมากๆ
อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อกระตุ้นการสลายไขมันออกมาได้มากขึ้นทางปัสสาวะ และเหงื่อ
5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ประมาณ 1 วัน เพื่อลดการบวมช้ำ และเพื่อให้ตัวยาได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3 ชม.หลังทำ
- รอยเข็มที่ร้อยไหมสามารถโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆได้ งดทาครีมก่อนในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
6 ชม.หลังทำ
- บริเวณที่ฉีดยาชาจะเริ่มหายบวม หากมีจุดไหนที่ยังบวมมาก สามารถประคบเย็นช่วยได้ โดยประคบเบาๆ ไม่นวด ไม่กดแรง
หลังทำ 24 ชม.
- จะเริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น จึงอาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับผลลัพธ์ จึงต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 14 วัน ในการรอให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน สามารถทาครีมบำรุงให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้ตามปกติ
หลังทำ 3 วัน
- อาการปวดบวมแดงช้ำจะเริ่มดีขึ้น และลดลง สามารถขยับใบหน้าได้เกือบเท่าปกติ ไหมจะเข้าที่แล้วประมาณ 90% แต่ยังไม่ควรกดนวดแรง ๆ
หลังทำ 7-10 วัน
- รอยเขียวช้ำที่อาจมีอยู่จะค่อยๆ จางลงเอง ใน 14 วัน ยังไม่ควรประคบร้อน
หลังทำ 14 วัน
- อาการบวมจะหายไปเกือบ 100% สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ กินอาหารได้ปกติ และพยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
หลังทำ 1 เดือน
- ไม่ควรอ้าปากกว้างๆ เช่น การอ้าปากทำฟัน หรือ การแปรงฟันแรงๆ ในระยะ 1 เดือนแรก
ข้อควรระวังทั่วไปหลังร้อยไหม
- หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดอง ของดิบ หรือของแสลง อย่างน้อย 48 ชม.หลังร้อยไหม จะช่วยให้ยุบบวมได้ไวขึ้น
- หลีกเลี่ยงความร้อนจัด และงดกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม.หลังร้อยไหม เช่น ออกกำลังกายหนักๆ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- อย่าขยับใบหน้าเยอะโดยเฉพาะในช่วง 3 วันหลังทำ จะทำให้ไหมที่ทำไว้เคลื่อนผิดตำแหน่งได้
- ควรนอนหัวสูงกว่าหน้าอก โดยการหนุนหมอนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ ไม่ควรนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ ควรหาหมอนข้างมากันไว้ทั้งซ้าย และขวาใน 2-3 คืนแรกหลังทำ เพื่อป้องกันการกดทับหน้าบริเวณที่ทำการร้อยไหม
ข้อควรระวังเพื่อลดอาการช้ำหลังทำ
- หลังร้อยไหม อาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำเป็นปกติ ให้หลีกเลี่ยงการแตะ การเกา การกดนวดในจุดนั้นๆ อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
- หลังจากยาชาที่ฉีดไว้หมดฤทธิ์ใน 3 ชม.หลังทำ จะเริ่มปวดระบมมากขึ้น หากหลังจากกินยาแก้ปวด paracetamol ที่ทางคลินิกให้ไปทุกๆ 4 ชม.แล้วยังปวดมากอยู่ก็สามารถกินยาแก้ปวดในกลุ่มอื่นๆ ช่วยเสริมได้เช่น ibruprofen, arcoxia, diclofenac แต่ถ้าไม่เคยกินยาเหล่านี้มาก่อนควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ข้อควรระวังในการทำหัตถการอื่นๆ หลังจากร้อยไหม
- งดทำทรีตเมนต์ นวดหน้า ขัดผิวหน้า อย่างน้อย 1 เดือน
- งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF thermage ควรเว้นอย่างน้อย 1 เดือน
- งดทำฟันอย่างน้อย 1 เดือน หากมีนัดทำฟัน ควรทำก่อนเข้ารับการร้อยไหม
หากมีอาการผิวตึง ปวดบริเวณใบหน้า สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
ไม่ควรนวด กด หรือถูกบริเวณใบหน้าแรงๆ เพราะอาจะเกิดการบวม อักเสบได้
หลีกเลี่ยงการออกแดด 1-2 สัปดาห์ เพื่อฟื้นฟูให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
สามารถทาครีมบำรุงได้ตามปกติ และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อป้องกันแสงแดดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 1 - 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจน ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เลี่ยงการทาครีมบริเวณที่ฉีด 1 คืน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
เลี่ยงการสัมผัส การกดบริเวณที่ฉีดในช่วง 1-2 คืนแรก เพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบ
พยายามเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องออกแดดบ่อยๆ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF30 ขึ้นไป
งดอาหารหมักดอง 7-14 วัน เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิวได้
นอกจากนี้ยังมีวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดที่สามารถคงผลลัพธ์การรักษาที่ยาวนานขึ้น คือ
หลังฉีด 2-3 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ล้างหน้าอย่างเบามือ ไม่ถู หรือขัดหน้าแรง เพื่อลดการระคายเคือง
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนจัด หรือการเผชิญกับมลภาวะ เพราะจะส่งผลต่อการระคายเคืองของผิว อาจทำให้เกิดรอยแดง โดยเฉพาะบริเวณรอยเข็มบริเวณที่ฉีด
ควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็นหนึ่งในตัวการทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น
งด หรือลดการสูบบุหรี่ เพราะเป็นต้นเหตุทำให้ผิวหมองคล้ำเร็ว
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส สุขภาพดี
ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัด และปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ เป็นประจำทุกวัน
รักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยการดื่มน้ำให้มากๆ นอกจากนี้ควรใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ไม่ว่าจะเป็น กรด AHA PHA หรือจะสครับผิว อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งในช่วงแรก เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังฉีด SCULPTRA อาจมีอาการบวมช้ำจากรอยเข็มได้บ้าง สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การเข้าซาวน่า การทำเลเซอร์ ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ รวมถึงควรเว้นการฉีดสารอื่นๆ 1 เดือน หลังจากฉีด SCULPTRA
ส่วนการดูแลตัวเองอีกข้อที่สำคัญหลังฉีด SCULPTRA คือการนวด ด้วยหลักการของ Triple 5 คือ การทำให้ตัวยาดูดซึมกระจายเข้าสู่พื้นผิวให้ได้มากที่สุด ซึ่งหลังฉีดจะต้องทำการนวดครั้งละ 5 นาที 5 ครั้งต่อวันและต้องทำติดต่อกัน 5 วัน โดยสเต็ปการนวดมี 4 ท่า
Step ที่ 1 ใช้นิ้วโป้งของเรานวดขมับทั้ง 2 ข้างแล้วใช้กำปั้นค่อยๆ นวดเลื่อนจากหน้าผากไปขมับ
Step ที่ 2 ยกนิ้วโป้งขึ้น แนบไปตรงหน้าแก้ม ทั้งสองข้าง แล้วเลื่อนจากหน้าแก้มไปข้างๆ แก้ม
Step ที่ 3 ใช้อุ้งมือกดช่วงข้างๆ แก้ม แล้วค่อยๆ นวดไล่จากล่างขึ้นบนไปถึงตรงโหนกแก้ม
Step ที่ 4 ท่าสุดท้าย ทำมือคล้ายๆ กับท่าที่สอง ยกนิ้วโป้งขึ้น เริ่มจากที่คางไล่ไปตามแนวกรามกรอบหน้าด้านข้าง
ดื่มน้ำมากๆหลังฉีดสามารถช่วยกระตุ้นให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ผิวยิ่งดูเปล่งปลั่ง และแนะนำรับประทานวิตามินซี วันละ 1,000 มิลลิกรัมทุกวันในช่วง 3 เดือนแรก จะส่งเสริมให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้หากสาวๆอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี สวย ดูเป็นธรรมชาติ และผลลัพท์ที่คงอยู่ยาวนาน ควรทำปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด หรือหากยังไม่มั่นใจว่ามีอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำมากกว่านี้ LBC พร้อมให้คำแนะนำอยู่เสมอนะคะ