รับโปรโมชั่นพิเศษ เฉพาะคุณเท่านั้น
เบื่อไหม? จะออกจากบ้านแต่ละครั้งต้องเสียเวลาทาคอนซีลเลอร์หลายครั้งเพื่อกลบรอยคล้ำบริเวณใต้ตา โดยนอกจากจะทำให้แววตาดูหม่นหมองไม่สดใสแล้ว ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียยังทำให้ใบหน้าทรุดโทรมและดูมีอายุ จนทำให้ใครหลายคนหมดความมั่นใจไปเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียแท้จริงแล้วไม่ได้เกิดเพียงเพราะว่านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอแบบที่ใครหลายคนคิด แต่ยังมีด้วยกันหลายสาเหตุ ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป แล้วปัญหาใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง มีวิธีไหนที่จะช่วยกอบกู้ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียและสามารถฟื้นฟูใบหน้าที่ดูหม่นหมองให้กลับมาสดใสได้บ้าง บทความนี้มีคำตอบ!
ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย แต่หากยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ปัญหาใต้ตาคล้ำก็จะยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายเท่านั้น อย่างไรก็ดี ปัญหาใต้ตาคล้ำสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรมไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งหลัก ๆ แล้ว ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียสามารถเกิดขึ้นได้จาก 4 สาเหตุหลัก ดังนี้
เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นหนังกำพร้าที่บริเวณดวงตาก็จะบางลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังและความหย่อนคล้อยชัดเจนขึ้น ทำให้ใครหลายคนใต้ตาคล้ำจนเห็นได้ชัด นอกจากนี้ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวของเราก็จะผลิตคอลลาเจนน้อยลง ส่งผลให้ผิวหนังใต้ตาดูไม่สดใสและคล้ำเสียมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากอายุแล้ว ฮอร์โมนก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว จนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใต้ตาดูคล้ำลง
การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึกเป็นประจำจนทำให้เกิดความเครียดสะสม ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใต้ตาคล้ำเสียมากขึ้นเช่นกัน บอกเลยว่าถึงแม้ใครหลายคนจะคิดว่าการอดนอนเป็นประจำนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตนเอง เพราะยังรู้สึกว่าร่างกายทนไหวอยู่ สุดท้ายแล้วร่างกายก็จะแสดงความอ่อนล้าออกมาให้เห็น โดยเฉพาะใต้ตาที่คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผิวไม่ได้รับการพักผ่อนนั่นเอง
กรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการมีใต้ตาคล้ำ รวมถึงโรคประจำตัวต่าง ๆ อย่างเช่น โรคภูมิแพ้ ก็มีส่วนทำให้ใต้ตาคล้ำได้เช่นกัน
หลังจากที่ทำความรู้จักทั้ง 4 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวหนังใต้ตาคล้ำเสียแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่าจะแก้ปัญหาผิวใต้ตาเพื่อกู้ความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างไร ลองมาดู 4 วิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียที่ผ่านการทดสอบมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าได้ผลจริงกัน!
การแก้ปัญหาผิวใต้ตาคล้ำสามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านด้วยการนำถุงชาร้อนที่ชงเรียบร้อยมาประคบไว้ที่ผิวใต้ตา เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการนำถุงชาร้อนที่ชงเรียบร้อยและทิ้งไว้จนอุ่น จากนั้นจึงนำมาประคบใต้ดวงตาประมาณ 10-15 นาที เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความคล้ำเสียที่ใต้ดวงตาได้แล้ว โดยสารแทนนินที่อยู่ในใบชาก็จะช่วยทำให้ใต้ตาที่คล้ำหมองดูสดใสขึ้น และยังช่วยลดอาการตาบวมได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลากว่าจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ จึงควรทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
สำหรับใครที่มาสายสกินแคร์ ในปัจจุบันหลาย ๆ แบรนด์ก็ได้มีการพัฒนาสูตรอายครีมลดรอยคล้ำใต้ดวงตาออกมามากมาย วิธีการใช้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงบีบอายครีมปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว จากนั้นจึงค่อย ๆ นวดอย่างเบามือจากบริเวณหัวตาไปยังหางตา
หากตัดสินใจเลือกใช้สกินแคร์สำหรับดวงตาแล้ว ขอแนะนำให้ทาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอในทุกวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวสกินแคร์ให้มากขึ้น ซึ่งเนื้ออายครีมก็มีให้เลือกทั้งแบบเนื้อครีมและแบบเนื้อเจล เหมาะสำหรับทุกคนที่รักในการบำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์เป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มอายครีมที่ชอบไว้ในขั้นตอนการบำรุงผิวหน้าในทุกวันกันได้เลย
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้บริเวณใต้ตามีความเต่งตึง ดูอิ่มน้ำ ช่วยลดความดำคล้ำ และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสยิ่งขึ้น การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสารเติมเต็มตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตราย มั่นใจได้ว่าปลอดภัย
ข้อดีของการฟิลเลอร์ใต้ตา คือ ตัวสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) สามารถย่อยสลายเองได้ ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน สามารถกู้คืนบริเวณใต้ตาให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังมีคุณสมบัติในการช่วยเติมเต็มริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี มีความเป็นธรรมชาติสูง ดูเนียนไปกับส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำการฉีดสาร ที่สำคัญ คือ หลังเติมฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ แต่ก็สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือนเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับปริมาณและเทคนิคที่แพทย์ใช้ เรียกได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำที่ใช้เวลาในการทำน้อย คุ้มค่า และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของใครหลายคนเลยทีเดียว
นอกจากการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว ไซโตแคร์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำเสียได้เช่นกัน แม้ชื่ออาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่บอกเลยว่าได้รับความนิยมไม่แพ้ใคร เพราะการฉีดไซโตแคร์มีส่วนช่วยทำให้ใต้ตาดูคล้ำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยไซโตแคร์เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง แม้ว่าจะมีส่วนประกอบของสาร Hyaluronic Acid (HA) เหมือนกับการฟิลเลอร์ใต้ตา แต่ไซโตแคร์ยังประกอบไปด้วยสารอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิว เช่น กรดอะมิโนเปปไทด์ วิตามิน กรดนิวคลิอิกและสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งอาหารผิวอีกมากมายที่ถูกสกัดมาจากธรรมชาติเน้น ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไซโตแคร์แตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั่นเอง
ข้อดีของการฉีดไซโตแคร์ใต้ตาและร่องแก้ม นอกจากจะช่วยทำให้ใต้ตาคล้ำลดลงแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ดูมีออร่ามากขึ้น เนื่องจากไซโตแคร์สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งในการขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพบนใบหน้า และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น นอกจากนี้ ไซโตแคร์ยังช่วยทำหน้าที่รักษาสมดุลของผิวหนัง เห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 5 - 7 วัน
อย่างไรก็ตาม การฉีดไซโตแคร์บริเวณร่องแก้มและใต้ตาจะอยู่ได้ประมาณ 2 - 3 เดือนเท่านั้น จากนั้นจะต้องทำการฉีดใหม่อีกครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต่างจากการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาที่สามารถอยู่ได้นานถึง 8 - 12 เดือนเลยทีเดียว
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและฉีดไซโตแคร์เป็นทางเลือกในการรักษาปัญหาใต้ตาคล้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน หากไม่แน่ใจว่าปัญหาใต้ตาคล้ำที่เรามีต้องเลือกฉีดแบบไหนดีกว่ากัน ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเพื่อเลือกวิธีการฉีดที่ดีที่สุด
หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ลองมาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ LBC Clinic ได้ทันที ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีเครื่องมือทันสมัยและครบครันต่อความต้องการเท่านั้น แต่ทางคลินิกยังมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลใกล้ชิด มั่นใจ! ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดทุกเคส
สุดท้ายนี้ แม้ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยทำให้ใต้ตาของเรากลับมาสดใสเปล่งปลั่งได้ตามปกติมากแค่ไหน แต่การดูแลตัวเองจากภายใน การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็ยังเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญและขาดไม่ได้ จึงควรทำควบคู่ไปพร้อม ๆ กันเพื่อคงผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้อยู่กับเราได้อย่างยาวนาน