รับโปรโมชั่นพิเศษ เฉพาะคุณเท่านั้น

ในแต่ละวัน สาว ๆ หลายคนต้องใช้เวลาไปกับการบรรจงทา Concealer คู่ใจ เพื่อกลบรอยคล้ำบริเวณใต้ตา จนทำให้เสียเวลาในการแต่งหน้าไปอีกหลายนาที เพราะใต้ตาคล้ำเรียกได้ว่าเป็นปัญหายอดฮิตที่พบได้ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ ทำให้หน้าตาดูโทรม หม่นหมอง ไม่สดใส อีกทั้งทำให้การแต่งหน้าในแต่ละวันยิ่งยากขึ้นด้วย แต่สาว ๆ รู้ไหมว่า ความจริงแล้วปัญหาใต้ตาคล้ำไม่ได้เกิดเพียงเพราะว่านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอแบบที่ใครหลายคนคิดเท่านั้น โดยเราจะชวนไปดูกันว่าปัญหาใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง แล้ววิธีไหนที่จะช่วยกอบกู้ความสวย คืนผิวใต้ตาที่สว่างใส ฟื้นฟูใบหน้าที่ดูหม่นหมองให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง
ใต้ตาคล้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่จะยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ใต้ตาคล้ำมีดังนี้
1. อายุ
ปัจจัยแรกคือ อายุที่เริ่มมากขึ้น ส่งผลให้ชั้นหนังกำพร้าของเราจะบางลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังปรากฏชัดเจนขึ้น รวมถึงความหย่อนคล้อยก็จะยิ่งทำให้ใต้ตาคล้ำจนสังเกตได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การที่ผิวของเราผลิตคอลลาเจนลดน้อยลงก็มีส่วนทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตาดูไม่สดใสอย่างเคย
2. ฮอร์โมน
นอกจากอายุแล้วฮอร์โมนก็เป็นอีกปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และมีผลทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว จนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใต้ตาดูคล้ำลง
3. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
มาถึงปัจจัยหลักที่ทำให้หลายคนใต้ตาคล้ำหมองเป็นหมีแพนด้า นั่นก็คือการพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึกเป็นประจำจนทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสม บอกเลยว่าถึงแม้ใครหลายคนจะคิดว่าการอดนอนเป็นประจำนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตนเอง เพราะยังรู้สึกว่าร่างกายทนไหวอยู่ สุดท้ายแล้วร่างกายก็จะแสดงความอ่อนล้าออกมาให้เห็น โดยเฉพาะใต้ตาที่คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผิวไม่ได้รับการพักผ่อนนั่นเอง
4. กรรมพันธุ์
กรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการมีใต้ตาคล้ำ รวมถึงโรคประจำตัวต่าง ๆ อย่างเช่น โรคภูมิแพ้ ก็มีส่วนทำให้ใต้ตาคล้ำได้เช่นกัน
แม้ว่าจะมีปัจจัยมากมายที่ทำให้ใต้ตาคล้ำ แต่ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงหัตถการต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือและผ่านการวิจัยมาแล้วว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
1. ถุงชาร้อน
เริ่มต้นด้วยวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้านอย่างการนำถุงชาร้อนที่ชงเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้จนอุ่น จากนั้นจึงนำมาประคบใต้ดวงตาประมาณ 10-15 นาที สารแทนนินที่อยู่ในใบชาก็จะช่วยทำให้ใต้ตาที่คล้ำหมองดูสดใสขึ้น และยังช่วยลดอาการตาบวมได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลากว่าจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ จึงควรทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
2. ทาครีมบำรุง
สำหรับใครที่มาสายสกินแคร์ ในปัจจุบันหลาย ๆ แบรนด์ก็ได้มีการพัฒนาสูตรอายครีมลดรอยคล้ำใต้ดวงตาออกมามากมาย วิธีการใช้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงบีบอายครีมปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว ค่อย ๆ นวดอย่างเบามือจากบริเวณหัวตาไปยังหางตา โดยควรทาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอในทุกวัน ก็จะช่วยให้ใต้ตาคล้ำของเพื่อน ๆ ดูกระจ่างใสขึ้น ซึ่งเนื้ออายครีมก็มีให้เลือกทั้งแบบเนื้อครีมและแบบเนื้อเจล เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่รักในการบำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์เป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มอายครีมที่ชอบไว้ในขั้นตอนการบำรุงผิวหน้าในทุกวันกันได้เลย
3. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้บริเวณใต้ตามีความเต่งตึง ดูอิ่มน้ำ ช่วยลดความดำคล้ำ และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสยิ่งขึ้น การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสารเติมเต็มตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตราย มั่นใจได้ว่าปลอดภัย
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็คือ ตัวสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) สามารถย่อยสลายเองได้ ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน สามารถกู้คืนบริเวณใต้ตาให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งโดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องใต้ตาคล้ำแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเติมเต็มริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี มีความเป็นธรรมชาติสูง ดูเนียนไปกับส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำการฉีดสารใด ๆ ที่สำคัญคือหลังเติมฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที
ถึงแม้ว่าสารที่ฉีดจะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ แต่ก็สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือนเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับปริมาณและเทคนิคที่แพทย์ใช้ เรียกได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำที่ใช้เวลาในการทำน้อย คุ้มค่า และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของสาว ๆ ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
4. ฉีดไซโตแคร์
อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำได้เป็นอย่างดี ก็คือการฉีดไซโตแคร์ ชื่ออาจจะฟังดูแปลก ๆ และไม่คุ้นเคย แต่บอกเลยว่าได้รับความนิยมไม่แพ้ใคร เพราะมีส่วนช่วยทำให้ใต้ตาดูคล้ำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะไซโตแคร์นั้นเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง แม้ว่าจะมีส่วนประกอบของสาร Hyaluronic Acid (HA) เหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่ไซโตแคร์นั้นยังประกอบไปด้วยสารอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิว เช่น กรดอะมิโนเปปไทด์ วิตามิน กรดนิวคลิอิกและสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งอาหารผิวอีกมากมายที่ถูกสกัดมาจากธรรมชาติเน้น ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไซโตแคร์แตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั่นเอง
ข้อดีของการฉีดไซโตแคร์ใต้ตาและร่องแก้มที่นอกจากจะช่วยทำให้ใต้ตาคล้ำลดลงแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ดูมีออร่ากว่าที่เคย เนื่องจากสารดังกล่าวจะทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งในการขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพบนใบหน้า และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น นอกจากนี้ ไซโตแคร์ยังช่วยทำหน้าที่รักษาสมดุลของผิวหนัง เห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 5-7 วัน อย่างไรก็ตามการฉีดไซโตแคร์บริเวณร่องแก้มและใต้ตาจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือนเท่านั้น จากนั้นจะต้องทำการฉีดใหม่อีกครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง
งดรับประทานยาแอสไพริน วิตามิน และอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย สารสกัดจากกระเทียม ขิง และโสม เป็นเวลา 2 สัปดาห์
งดรับประทานอาหารหมักดองอย่างน้อย 1 วัน
งดดื่มแอลกอฮอลล์อย่างน้อย 1 วัน
งดรับประทานยาแอสไพริน วิตามิน และอาหารเสริมบางชนิดต่อเนื่องไปอีก 2 สัปดาห์ หรือปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับประทานยาต่าง ๆ
งดรับประทานอาหารหมักดองและอาหารรสจัด รวมถึงงดดื่มแอลกอฮอลล์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ
ดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้เห็นผลลัพธ์หลังการฉีดที่ดียิ่งขึ้น
งดการสครับใบหน้าและงดการสัมผัสในบริเวณที่ฉีดด้วยความรุนแรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
งดการออกกำลังกายหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและฉีดไซโตแคร์นั้นมีความเหมาะสมกับแต่ละคนแตกต่างกันไป หากไม่แน่ใจว่าปัญหาใต้ตาคล้ำที่เรามี ต้องเลือกฉีดแบบไหนดีกว่ากัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเพื่อเลือกวิธีการฉีดที่ดีที่สุด หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ต้องฉีดที่ LBC Clinic เลยค่ะ เพราะเราคือคลินิกที่ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียดในทุกเคส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สุดท้ายนี้ถึงแม้ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยทำให้ใต้ตาของเรากลับมาสดใสเปล่งปลั่งได้ตามปกติมากแค่ไหน แต่การดูแลตัวเองจากภายใน การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและการดื่มน้ำให้ได้ตามปริมาณที่ควรจะเป็น ก็ยังเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญและขาดไม่ได้ จึงควรทำควบคู่ไปพร้อม ๆ กันเพื่อคงผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้อยู่กับเราได้อย่างยาวนาน
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |